ไม่ว่าโลกการตลาดจะเปลี่ยนแค่ไหน พฤติกรรมมนุษย์ยังเป็นหัวใจสำคัญที่นักการตลาดต้องเข้าใจ เพราะการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค มักมีจิตวิทยาเล็ก ๆ ซ่อนอยู่เสมอ
Table of Contents
- จิตวิทยาการตลาด (Marketing Psychology) คืออะไร?
- ทำไมจิตวิทยาการตลาดถึงช่วยให้คนตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น?
- 9 เทคนิคจิตวิทยาการตลาด ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากซื้อโดยไม่รู้ตัว
- Social Proof – คนอื่นใช้ เราก็อยากใช้ตาม
- Authority – ผู้เชี่ยวชาญพูดเอง เชื่อถือได้
- Reciprocity – ให้ก่อน แล้วลูกค้าจะอยากให้กลับ
- Anchoring – ราคาแรกมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ
- Scarcity – ยิ่งหายาก ยิ่งอยากได้
- HALO Effect – ชอบสิ่งหนึ่ง แล้วรู้สึกว่าทุกอย่างดีตาม
- Confirmation Bias – เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ
- Peak-End Rule – ลูกค้าจำได้แค่ช่วงพีค กับตอนจบ
- Loss Aversion – กลัวเสียมากกว่าอยากได้
จิตวิทยาการตลาด (Marketing Psychology) คืออะไร?
เวลาลูกค้าจะตัดสินใจซื้ออะไรบางอย่าง พวกเขาไม่ได้คิดแค่เรื่องราคา คุณสมบัติ หรือโปรโมชันเท่านั้น แต่ยังมีอารมณ์ ความรู้สึก และความเชื่อบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของพวกเขาแบบไม่รู้ตัว
Marketing Psychology หรือ จิตวิทยาการตลาด คือ ศาสตร์ที่นำหลักการทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับการสื่อสารทางการตลาด เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรม ความคิด และแรงจูงใจของผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายเพื่อออกแบบข้อความหรือแคมเปญที่สามารถเข้าถึงความต้องการลึก ๆ ของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ
หัวใจสำคัญของจิตวิทยาการตลาด ไม่ใช่แค่การสื่อสารให้เข้าใจ แต่คือการเชื่อมโยงให้รู้สึก เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้าในระดับที่เหตุผลเพียงอย่างเดียวอธิบายไม่ได้
ทำไมจิตวิทยาการตลาดถึงช่วยให้คนตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น?
เพราะมนุษย์ไม่ได้ตัดสินใจด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว แต่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ ความทรงจำ และ อคติทางความคิด (Cognitive Biases) ที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก หลายครั้งเราเลือกซื้อสินค้าเพราะทางลัดทางความคิด (Mental Shortcuts) เช่น การเชื่อรีวิวจากผู้ใช้งานจริง การรู้สึกว่าแบรนด์ดูน่าเชื่อถือ หรือ การกลัวว่าจะพลาดโปรโมชันดี ๆ
หลักจิตวิทยาการตลาด จึงเข้ามาทำหน้าที่กระตุ้น หรือ ตอกย้ำ ความรู้สึกเหล่านี้ให้เด่นชัดขึ้น สร้างแรงจูงใจ ความมั่นใจ หรือความเร่งด่วนบางอย่าง จนทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อในที่สุด ที่แม้แต่ตัวลูกค้าเองอาจไม่สามารถอธิบายได้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงเลือกซื้อแบรนด์นั้น
ดังนั้น เราจะพาไปดู 9 เทคนิคจิตวิทยาที่แบรนด์ต่างๆ นิยมใช้ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึก “อยากซื้อ” โดยไม่รู้ตัว
9 เทคนิคจิตวิทยาการตลาด ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากซื้อโดยไม่รู้ตัว
1. Social Proof – คนอื่นใช้ เราก็อยากใช้ตาม
หลายคนมีแนวโน้มจะเชื่อและทำตามสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ เพราะมันให้ความรู้สึกปลอดภัย และมั่นใจว่าเราตัดสินใจไม่ผิด
ดังนั้น การแสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากใช้สินค้าหรือบริการแล้ว ไม่ว่าจะผ่านรีวิว ยอดขาย หรือการแชร์จากผู้ใช้งานจริง จะช่วยลดความลังเล และสร้างความน่าเชื่อถือได้ทันที
Case Study:
- แคมเปญ Lyn Around Everywhere ของแบรนด์แฟชั่น Lyn Around ที่ใช้ Influencer และลูกค้าจริงแชร์ภาพผ่านแฮชแท็ก #LynaroundEverywhere ได้สร้างคอมมูนิตี้แฟนคลับที่แข็งแรง และทำยอดขายจนติดอันดับ 1 ใน 5 ของยัสปาล กรุ๊ป พร้อมคว้ารางวัล Best Fashion Influencer Campaign จาก Thailand Influencer Awards 2024 ซึ่งสะท้อนถึงพลังของ Social Proof ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- (Ref: https://www.jaspalgroup.com/ถอดรหัสความสำเร็จ-lyn-around-everywhere/)
- Gentlewoman เป็นอีกตัวอย่างที่น่าสนใจ แบรนด์แฟชั่นไลฟ์สไตล์วัยรุ่นหญิง ที่ใช้พลัง Social Proof จากรีวิวและภาพแชร์จริงในกลุ่ม Gen Z ทำให้กระเป๋าผ้าแคนวาสโลโก้ Gentlewoman กลายเป็นแฟชั่นไวรัลยอดฮิตในไทย ก่อนจะขยายความนิยมไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนและสิงคโปร์ อีกทั้งแบรนด์ยังใช้นักแสดงชื่อดัง ออกแบบ-ชุติมณฑน์ และฟ่านปิงปิง ดาราหญิงจีน เป็นพรีเซนเตอร์ กระตุ้นให้เกิดกระแสและยอดขายโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2024
- (Ref: https://marketeeronline.co/archives/393466)
2. Authority – ผู้เชี่ยวชาญพูดเอง เชื่อถือได้
ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญและทำตามคำแนะนำของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ เพราะช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจ และสร้างความมั่นใจว่าเราทำตามสิ่งที่ถูกต้อง
ดังนั้น การใช้ผู้เชี่ยวชาญ หรือบุคคลที่น่าเชื่อถือมารับรองสินค้าหรือบริการ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และทำให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นทันที
Case Study
- CeraVe: ผลิตภัณฑ์ SA Smoothing Cleanser ที่ได้รับการแนะนำจากแพทย์ผิวหนังในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1 โดยมีข้อมูลอ้างอิงจากผลสำรวจแพทย์ผิวหนัง 1,411 คน ระหว่าง ก.พ. 2567 – ก.พ. 2568 โดย IQVIA ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีผลทดสอบจากผู้ใช้จริงที่พึงพอใจ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ากล้าตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น
- (Ref: https://www.facebook.com/CeraveThailandOfficial/videos/732063196082301/)
- Colgate : ผลิตภัณฑ์ Colgate Total Plaque Release ที่ระบุว่า ทันตแพทย์ถึง 97% แนะนำให้ใช้ สร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เพราะคนมักเชื่อคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ
- (Ref: https://www.facebook.com/share/p/1CrxhGdpry/)
3. Reciprocity – ให้ก่อน แล้วลูกค้าจะอยากให้กลับ
เมื่อมีคนให้อะไรบางอย่างกับเรา เราจะรู้สึกอยากตอบแทนกลับคืน การให้ของขวัญฟรี ส่วนลดพิเศษ หรือเนื้อหาที่เป็นประโยชน์โดยไม่หวังผลตอบแทน จะทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์และกระตุ้นให้ลูกค้าอยากตอบแทนด้วยการซื้อสินค้าในอนาคต
Case Study
- CP เปิดตัวแคมเปญไก่ไทยจะไปอวกาศ โดยเนรมิตสยามสแควร์ให้กลายเป็นสถานีอวกาศ พร้อมกิจกรรมให้ทดลองชิมฟรี แจกของที่ระลึก และเนื้อหาสร้างประสบการณ์เชิงบวกโดยไม่หวังผลตอบแทนทันที ซึ่งสอดคล้องกับหลักจิตวิทยาแบบ Reciprocity หรือ ให้ก่อน แล้วลูกค้าจะอยากให้กลับ ผลลัพธ์คือยอดขายไก่ปรุงสุกในประเทศเติบโตขึ้น 11% และแฮชแท็ก #ไก่ไทยจะไปอวกาศ ติดเทรนด์อันดับ 1 บน X (Twitter) ในช่วงเปิดตัวแคมเปญ (อ้างอิง: MAT Award 2024)
- (Ref: https://ch3plus.com/news/ch3prnews/morning/357986)
- แคมเปญกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์สุขใจ โดย AIA ประเทศไทย ที่มอบความคุ้มครองอุบัติเหตุฟรีให้ประชาชนทั่วประเทศในช่วงสงกรานต์ 2567 ครอบคลุมสูงสุด 100,000 บาท โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ผ่านการลงทะเบียนผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น LINE Official Account และ ALive App ไม่เพียงช่วยเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ที่ใส่ใจสังคม แต่ยังดึงกลุ่มผู้ใช้งานใหม่เข้าสู่แพลตฟอร์มได้หลายหมื่นราย กลายเป็นฐานลูกค้าศักยภาพที่สามารถต่อยอดการขายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- (Ref: https://www.share2trade.com/news/28450/เอไอเอ-ประเทศไทย-ร่วมกับ-เอ-ไลฟ์-มอบกรมธรรม์อุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ฟรีวงเงิน100000-บาท)
4. Anchoring – ราคาแรกมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ
การรับข้อมูลแรกมักส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจของคนเรา เช่น เมื่อเห็นราคาสินค้าชิ้นหนึ่ง เราจะเผลอใช้ราคานั้นเป็นจุดอ้างอิง (Anchor) ในการเปรียบเทียบกับราคาชิ้นถัดไปโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น สำหรับสินค้าที่อยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน หากลูกค้าเห็นราคาที่สูงก่อน แล้วตามด้วยราคาที่ต่ำกว่า ราคาที่แสดงภายหลังจะถูกมองว่าคุ้มค่ามากขึ้น แม้ในความเป็นจริงจะยังคงแพงอยู่
Case Study
- Apple ใช้กลยุทธ์ Anchoring ในการเปิดตัวสินค้าอย่างชัดเจน เช่น เปิดตัว iPhone 15 Pro Max รุ่นท็อปในราคาสูงถึง 58,900 บาท เพื่อให้รุ่นราคาถูกกว่า เช่น iPhone 15 หรือ iPhone SE (15,900 บาท) ที่ยังคงมีฟีเจอร์หลักบางอย่างเหมือนรุ่นท็อป ดูคุ้มค่าในสายตาผู้บริโภค ทำให้รู้สึกว่าจ่ายน้อยลงแต่ยังได้ของดี
- (Ref: https://fastercapital.com/topics/successful-examples-of-price-anchoring.html/1)
- Starbucks ตั้งชื่อขนาดแก้วเป็น Tall, Grande, Venti โดยใช้ Grande (ขนาดกลาง) เป็นราคา Anchor ทำให้ Venti ซึ่งแพงกว่าเล็กน้อยดูคุ้มค่า ส่งผลให้หลายคนตัดสินใจเลือกแก้วใหญ่โดยไม่รู้ตัว เป็นการใช้จิตวิทยาราคาอย่างแนบเนียนเพื่อเพิ่มยอดขายต่อบิล (AOV)
- (Ref: https://fastercapital.com/topics/successful-examples-of-price-anchoring.html/1)
5. Scarcity – ยิ่งหายาก ยิ่งอยากได้
เมื่อของบางอย่างมีจำนวนจำกัด หรือ มีเวลาให้ตัดสินใจไม่มาก เราจะยิ่งรู้สึกอยากได้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะสมองประเมินว่าสิ่งนั้นมีคุณค่ามากกว่าปกติ และกลัวว่าจะพลาดโอกาสสำคัญไป
ดังนั้นการระบุว่ามีสินค้าเหลือจำนวนจำกัด, จำกัดเวลาในการซื้อ, หรือจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมโปรโมชั่น ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ารีบตัดสินใจซื้อทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน
Case Study
- ศรีจันทร์ออกชุดแป้งฝุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น กล่องแห่งความลับศรีจันทร์ จำนวนจำกัด 8,888 เซต ร่วมกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “แมนสรวง” โดยแต่ละเซตมาพร้อมแป้งฝุ่นลายพิเศษและโปสการ์ดพร้อมลายเซ็นนักแสดง ทำให้กลุ่มแฟนคลับรีบซื้อทันทีตั้งแต่เปิดขาย (ราคา 2,499 บาท) สะท้อนพฤติกรรมกลัวพลาด (FOMO) และช่วยสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้ทันสมัยและเชื่อมต่อกับคนรุ่นใหม่ได้ดี
- (Ref: https://www.brandthink.me/content/srichandxmansuang)
- Carnival แบรนด์สตรีทแฟชั่นไทย ออกสินค้า Collaboration รุ่นลิมิเต็ดที่มีจำนวนจำกัด เช่น Carnival X Adidas Consortium หรือ Carnival X KFC ที่ขายเฉพาะบางช่องทาง ทำให้เกิดความรู้สึกของมันต้องมีในกลุ่มนักสะสมสินค้า ผลลัพธ์คือสินค้าเกลี้ยงภายในวันครึ่ง ยอดขาย Collaboration เพิ่มเป็น 30% ของรายได้บริษัท แม้เศรษฐกิจซบเซาก็ยังขายดี และสร้างกระแสฮือฮาตลอดทุกการเปิดตัว
- (Ref: https://positioningmag.com/1233540)
6. HALO Effect – ชอบสิ่งหนึ่ง แล้วรู้สึกว่าทุกอย่างดีตาม
เมื่อเรามีความรู้สึกดีต่อด้านใดด้านหนึ่งของสิ่งใด เช่น คน สินค้า หรือแบรนด์ เรามักจะมองว่าส่วนอื่น ๆ ของสิ่งนั้นก็ดีไปด้วย เช่น หากเราชื่นชอบศิลปินคนไหน ก็อาจรู้สึกดีกับแบรนด์ที่ศิลปินคนนั้นเป็นพรีเซ็นเตอร์ และมองว่าสินค้ามีคุณภาพหรือน่าเชื่อถือตามภาพลักษณ์ของศิลปินไปด้วย
Case Study
- ศรีจันทร์ดึงแบมแบม GOT7 เป็นพรีเซ็นเตอร์กลุ่มสกินแคร์ SRICHAND IN-SKIN ตั้งแต่ปลายปี 2024 เพื่อใช้พลังความดังและภาพลักษณ์อินเตอร์ของ K-Pop Idol สร้าง Halo Effect ให้แบรนด์ดูทันสมัยและน่าเชื่อถือขึ้นในสายตาผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ผลลัพธ์คือยอดขายโตเกือบ +59% ในปีเดียว และขึ้นเป็น อันดับ 1 หมวดมอยส์เจอไรเซอร์ในไทย สำเร็จ
- (Ref: https://forbesthailand.com/news/marketing/srichand-dec-2024)
- JOURNAL ดึง พีพี กฤษฏ์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ Body Oil กลางปี 2025 พร้อมเดินเกมการตลาดเต็มรูปแบบ หวังขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจ self-care โดยใช้ภาพลักษณ์พีพีช่วยสร้าง Halo Effect ให้แบรนด์ดูเข้าถึงง่าย มีเสน่ห์ และทันสมัย ตั้งเป้ายอดขาย Body Oil แตะ 250 ล้านบาทในปี 2025 และสร้างแบรนด์ให้เป็นผู้นำด้านเครื่องหอมสัญชาติไทย
- (Ref: https://www.forbesthailand.com/forbes-life/journal-introduces-pp-krit-as-new-presenter)
7. Confirmation Bias – เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ
คนเราจะมองหาข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อหรือค่านิยมเดิมของตัวเอง โดยเลี่ยงข้อมูลที่ขัดแย้ง ดังนั้นการสื่อสารให้สอดคล้องกับความเชื่อเหล่านั้น จะช่วยยืนยันว่าพวกเขาคิดถูกแล้ว และผลักดันให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
Case Study
- แคมเปญ คุณจะเลือกเชื่อโซเชียล หรือพิสูจน์ด้วยตัวเอง? ของ PTT Station สื่อสารผ่านโฆษณาที่จำลองเสียงวิจารณ์ในโซเชียลมาเป็นตัวละคร สะท้อน Confirmation Bias ที่ผู้บริโภคมักยึดความเชื่อเดิมและปฏิเสธข้อมูลใหม่ แบรนด์ไม่บอกให้ เชื่อ แต่ชวนให้ ลอง พิสูจน์ด้วยตัวเอง เป็นการพลิกเกมสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในยุคที่คนเสพข้อมูลแบบมีอคติ
- (Ref: https://everydaymarketing.co/pr/ptt-station-marketing-advertisement-reflects-insight-of-this-era-believe-it-or-prove-it-yourself/)
- Video Ads: https://www.youtube.com/watch?v=Mg8NZZASVVM
- Patagonia แบรนด์เสื้อผ้าและอุปกรณ์กลางแจ้งจากสหรัฐฯ ที่ยืนหยัดเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมาโดยตลอด มุ่งเน้นการสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืนยันความเชื่อ (Confirmation Bias) ของกลุ่มลูกค้าแกนหลักที่ใส่ใจโลก ส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกว่าการซื้อสินค้า Patagonia คือการสนับสนุนอุดมการณ์ของตนเอง เสริมความภักดีและความผูกพันกับแบรนด์ในระยะยาว
- (Website: https://www.patagonia.com/our-footprint/)
8. Peak-End Rule – ลูกค้าจำได้แค่ช่วงพีค กับตอนจบ
ความทรงจำต่อประสบการณ์หนึ่งมักถูกกำหนดจากความรู้สึกในช่วงที่ดีที่สุด (Peak) และช่วงสุดท้าย (End) ของเหตุการณ์นั้น ๆ ดังนั้นการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจในช่วงสำคัญเหล่านี้ จะช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ในแง่บวกและอยากกลับมาใช้บริการซ้ำอีกครั้ง
Case Study
- IKEA เป็นตัวอย่างการ ใช้กลยุทธ์ Peak-End Rule ที่ดีมากตัวอย่างนึง โดยหลังจากลูกค้าเดินช้อปของจนเมื่อยและต่อคิวจ่ายเงินยาวเหยียด IKEA วางโซนอาหารราคาถูก เช่น ไอศกรีม 8 บาท หรือฮอทดอกไว้ตอนจบ Customer Journey พอดี ทำให้ประสบการณ์จบด้วยความสุขเล็ก ๆ แทนที่จะจบด้วยความรู้สึกว่าเสียเงินเยอะ เทคนิคนี้ช่วยให้ลูกค้าจดจำ IKEA ในทางบวกและอยากกลับมาอีก
- (Ref: https://everydaymarketing.co/knowledge/peak-end-rule-for-effective-marketing/)
- อีกหนึ่งตัวอย่าง คือ Walmart ที่มีการต้อนรับลูกค้าด้วยพนักงานทักทายที่หน้าประตู และส่งลูกค้าด้วยรอยยิ้มตอนเดินออกจากร้าน พร้อมมีพนักงานช่วยเข็นรถ ยกของ และดูแลตลอดการช้อปปิ้ง ทั้งหมดนี้ช่วยให้ลูกค้าจดจำ Walmart จากประสบการณ์ดี ๆ ทั้งตอนเริ่มและตอนจบ จึงรู้สึกอยากกลับมาใช้บริการอีกครั้ง
- (Ref: https://thedigitaltips.com/blog/marketing/peak-end-rule/)
9. Loss Aversion – กลัวเสียมากกว่าอยากได้
ความกลัวที่จะสูญเสียมักมีพลังมากกว่าความต้องการที่จะได้มา การเน้นย้ำสิ่งที่ลูกค้าจะพลาด หรือ เสียโอกาส หากไม่ตัดสินใจซื้อ เช่น โปรโมชันสุดพิเศษ หรือโอกาสพิเศษในชีวิต จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้น
Case Study
- Booking.com ใช้เทคนิคนี้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการแสดงข้อความว่า “มีคนอื่นกำลังดูที่พักนี้อยู่” หรือ “มีที่พักเหลือเพียง 2 ห้องเท่านั้น!” เพื่อกระตุ้นความรู้สึกกลัวที่จะพลาดโอกาส ทำให้ลูกค้าตัดสินใจจองที่พักเร็วขึ้น
- (Ref: https://www.tasmanic.eu/blog/loss-aversion/)
- แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ TikTok Shop มักขึ้นข้อความ “Only 3 left” หรือ “เหลือแค่ 1 ชิ้น!” ใกล้ปุ่มซื้อ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภครู้สึกว่า ถ้าไม่รีบซื้อ อาจพลาดของที่อยากได้
จากทั้งหมดที่อ่านมา จะเห็นว่าเบื้องหลังการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ไม่ได้อิงจากเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความเชื่อ และอคติทางความคิดที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เทคนิคทางจิตวิทยาต่าง ๆ อย่างเช่น Social Proof, Reciprocity, Scarcity หรือ Confirmation Bias จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สื่อสารได้ลึกขึ้น และกระตุ้นการตัดสินใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ดังนั้น สำหรับนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจ/แบรนด์ การประยุกต์ใช้เทคนิคทางจิตวิทยาเหล่านี้ในการวางแผนและการสื่อสารแบรนด์ อาจเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความแตกต่าง และเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ในสภาวะการแข่งขันที่เข้มข้นในปัจจุบัน
TWF Agency มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การสื่อสารและการตลาดเชิงสร้างสรรค์โดยเฉพาะ พร้อมช่วยคุณออกแบบและสร้างสรรค์แคมเปญให้ตอบโจทย์ทั้งในเชิงธุรกิจและสร้างภาพลักษณ์แบรนด์อย่างครบวงจร สนใจติดต่อเราได้ที่ https://bit.ly/47ygRDE หรือดูบริการอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/4mRqeCX
Reference :
https://www.marketingoops.com/exclusive/how-to/social-proof/
https://www.istrong.co/single-post/9-persuasive-speaking-tips
https://www.drip.com/blog/reciprocity-marketing-examples
https://www.popticles.com/marketing/psychology-driven-marketing-with-anchoring-bias/
https://missiontothemoon.co/marketing-scarcity-effect/
https://everydaymarketing.co/knowledge/what-is-halo-effect-bias-effect-that-marketers-should-know-and-use-it-as/
https://thematter.co/science-tech/pop-science/confirmation-bias/220036
https://everydaymarketing.co/knowledge/peak-end-rule-for-effective-marketing/
https://thedigitaltips.com/blog/marketing/loss-aversion/