ในปัจจุบัน หลายสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ในอดีต นักการตลาดมักศึกษากลุ่มเป้าหมายจากข้อมูลประชากร (Demographic) หรือการแบ่งตาม Generation เพื่อเข้าใจพฤติกรรมและ Insight แล้วนำไปต่อยอดสร้างยอดขาย แต่ปัจจุบัน วิธีการเหล่านี้อาจไม่เพียงพอ
เมื่อเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มโซเชียลเข้ามามีบทบาท ทำให้เรากำลังก้าวเข้าสู่โลกของ Social Commerce ซึ่งไม่ใช่แค่การเพิ่มปุ่ม “กดซื้อ” ลงบนแพลตฟอร์ม แต่คือการทำให้เส้นทางการซื้อสั้นลง จากเดิมที่ลูกค้าจะซื้อสินค้าเมื่อต้องการ → ค้นหาและเปรียบเทียบ → คิด → กดซื้อ เป็นการ ดู → คิด → กดซื้อทันที ที่ใช้เวลาเพียง 10-30 วินาที
ถือได้ว่า Social Commerce คือรูปแบบ E-Commerce อย่างหนึ่ง ซึ่งอธิบายได้ว่าเป็นการซื้อขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ (E-Commerce) ที่ทำให้การซื้อขายเกิดขึ้นในสถานที่ที่ผู้คนใช้เวลามากที่สุดอย่างแพลทฟอร์มโซเชียลต่าง ๆ
การเติบโตจากการช้อปปิ้งออนไลน์แบบดั้งเดิม ที่ลูกค้าต้องค้นหาสินค้าในเว็บไซต์อย่างตั้งใจ ทำให้เกิดรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานความบันเทิงกับการช้อปปิ้งเข้าด้วยกัน เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Shoppertainment” ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ TikTok ที่เปลี่ยนจากแพลตฟอร์มเพื่อความบันเทิงมาเป็นช่องทางช้อปที่ทรงพลัง TikTok Shop ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยตั้งแต่ปี 2023 มีอัตราการเติบโตสูงถึงกว่า 500% จนกลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาด Social Commerce
สิ่งสำคัญคือ Insight ของลูกค้าในยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนแพลตฟอร์มโซเชียล ลูกค้าไม่ได้เข้ามาเพียงเพื่อดูคอนเทนต์อีกต่อไป แต่พร้อมที่จะ “กดซื้อ” ในวินาทีที่ถูกกระตุ้นอย่างถูกจังหวะ
- Social commerce เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริโภคในยุคดิจิทัล
- เบื้องหลังของการตัดสินใจซื้อแบบฉับพลัน (Impulse Buying)
- เจาะลึกความต่างของนักช้อปบน TikTok Shop, Shopee และ Lazada
- บทสรุป: เข้าใจและชนะใจลูกค้าในยุค Social Commerce
Social commerce เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริโภคในยุคดิจิทัล
พฤติกรรมผู้บริโภคในยุค Social Commerce มีความแตกต่างจากยุค E-Commerce แบบดั้งเดิมอย่างชัดเจน ในอดีตนั้น ลูกค้าใช้เว็บไซต์ (E-Marketplace) ในการเข้ามาซื้อสินค้าโดยเฉพาะ ทำให้ทางเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์ม มีการนำเสนอที่เน้นรายการสินค้า คำอธิบาย และรีวิว เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อลูกค้า ในขณะที่ฝั่งลูกค้าต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการคิด ตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนผ่านรีวิว หรือเปรียบเทียบราคา และมีการโต้ตอบเฉพาะกับฝ่ายบริการลูกค้าเป็นหลัก
Social Commerce กลับกลายเป็นการช้อปปิ้งที่เกิดขึ้นโดยตรงภายในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ของแพลตฟอร์มเอง เช่น การติดตะกร้าของ TikTok และการชำระเงินภายในแอป ทำให้กระบวนการซื้อมีขั้นตอนลดลงและรวดเร็วกว่า ลูกค้าจึงได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่าเดิมจากเนื้อหาที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นจาก Creator ที่มาจากหลากหลายที่ไม่ใช่แค่จากแพลตฟอร์ม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการแสดงผลของแพลตฟอร์มที่ดึงดูดสายตา เช่น การนำวิดีโอหรือไลฟ์ มาไว้เป็นอันดับแรกที่ลูกค้าเห็นเมื่อกดเข้าแอป เพื่อดึงความสนใจในทันที รวมถึงอิทธิพลจาก Influencer ที่ทำหน้าที่เป็นคนให้คำแนะนำ หรือวลีเด็ดที่ยุคนี้เรียกกันว่า ‘ป้ายยา’
สิ่งสำคัญที่สุดคือ Social Commerce มีความสามารถในการกระตุ้นการกดซื้อแบบทันที (Impulse Buying) ที่สูงกว่า E-Commerce แบบดั้งเดิม เนื่องจากผู้บริโภคใช้โซเชียลมีเดียในเวลาว่างกับการหาความบันเทิง มากกว่าแค่การซื้อสินค้า ทำให้พฤติกรรมการซื้อขาดเป้าหมายที่ชัดเจน เลยส่งผลให้การทำกิจกรรมทางธุรกิจบนโซเชียลมีเดีย เช่น การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่เกี่ยวกับสินค้า หรือการไลฟ์ ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับผู้ผลิตมากกว่า 70% และการซื้อออนไลน์มากกว่า 40% เกิดจากการซื้อแบบทันที
Shoppertainment การผสมผสานระหว่างการช้อปปิ้งและความบันเทิงเข้าด้วยกัน
ถ้าพูดถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เป็นเทรนด์การซื้อสินค้าแบบใหม่ในยุคปัจจุบัน หมายถึงการที่เรากำลังดูคอนเทนต์บนโซเชียลแต่เมื่อรู้ตัวอีกทีกลับกำลังกดสินค้าใส่ตะกร้า ดังนั้นเทรนด์ Shoppertainment คือแนวคิดที่ผสมผสานระหว่างการช้อปปิ้งและความบันเทิงเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่น่าสนใจและมีส่วนร่วม ลูกค้าจะได้รับความบันเทิงจากคอนเทนต์ที่ดูเหมือนกับรายการทางออนไลน์ และยังสามารถซื้อสินค้าได้ทันทีผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลต่าง ๆ เช่น TikTok Shop, หรือแพลตฟอร์มช้อปปิ้งที่มีฟีเจอร์ Live Shopping
Shoppertainment จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มปุ่มซื้อบนคอนเทนต์เท่านั้น แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ที่รวมถึงวิดีโอแบบโต้ตอบ, การถ่ายทอดสด, การใช้ influencer ในการสร้างความน่าสนใจ และการทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง หรือเกี่ยวข้องกับคอนเทนต์นั้น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ และสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของ Social Commerce
Live Shopping และวัฒนธรรมการสื่อสารของคนไทย
เมื่อวิเคราะห์ลึกลงไปในพฤติกรรมคนไทย พบว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจซื้อทันทีบนโซเชียลคือ ‘ความต้องการสื่อสารแบบเรียลไทม์’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่าน Live Shopping ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าคนไทยชื่นชอบการโต้ตอบและความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้ขาย ทั้งยังได้เห็นสินค้าจริง เป็นประสบการณ์ซื้อที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้อย่างดีอีกด้วย
และนี่คือการสืบทอดวัฒนธรรม ‘ตลาดนัด’ มาสู่ยุคดิจิทัล ที่ลูกค้าต้องการ ‘เห็นหน้า พูดคุย และสร้างความไว้ใจ’ ก่อนตัดสินใจซื้อ อย่างไรก็ตาม ในโลกโซเชียลมีเดีย กระบวนการสร้างความไว้ใจนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่วินาที และมักถูกกระตุ้นด้วยโปรโมชันพิเศษที่มีเฉพาะใน Live หรือความรู้สึก FOMO (Fear of Missing Out) ที่ทำให้ต้องการซื้อทันทีเพราะกลัวพลาดโอกาส ปัจจัยเหล่านี้ผสมผสานกันทำให้การตัดสินใจซื้อเกิดขึ้นอย่างทันที (Impulse Buying) อย่างเป็นธรรมชาติ
เบื้องหลังของการตัดสินใจซื้อแบบฉับพลัน (Impulse Buying)
จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Social Commerce ทั้งในแง่จำนวนของผู้บริโภคและการเกิดใหม่ของเทรนด์การทำคอนเทนต์ หรือแม้กระทั่งฟีเจอร์การขายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น LIVE Shopping หรือ Shoppertainment ก็ตาม ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราตัดสินใจกดซื้อทันทีบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย? การเข้าใจจิตวิทยาเบื้องหลังพฤติกรรม Impulse Buying จะช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ทำไมลูกค้าถึงตัดสินใจซื้อทันที และสามารถทำความเข้าใจกับพฤติกรรมเหล่านี้ได้อย่างลึกซึ้งเพื่อเอาชนะใจลูกค้า
สมองสองระบบ: เมื่อใจชนะเหตุผล
นักจิตวิทยา Daniel Kahneman ได้อธิบายถึงการทำงานของสมองมนุษย์ผ่านแนวคิด “Thinking, Fast and Slow” (2011) ที่แบ่งการประมวลผลของสมองออกเป็นสองระบบ
System 1 (Automatic System) : ระบบคิดเร็ว
เป็นระบบที่ทำงานแบบอัตโนมัติและใช้สัญชาตญาณ เมื่อเราเลื่อน Feed บน TikTok Shop หรือ Instagram Shopping แล้วเห็นสินค้าที่น่าสนใจ สมองส่วนนี้จะตอบสนองทันทีด้วยความรู้สึกอยากได้ ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานในการคิดวิเคราะห์มาก การเห็นภาพสวย ๆ ของเสื้อผ้า หรือการดูเพื่อนแชร์สินค้าที่น่าใช้ล้วนกระตุ้น System 1 ให้ทำงาน
System 2 (Deliberate System) : ระบบคิดช้า
เป็นระบบที่ต้องใช้พลังสมองในการวิเคราะห์ เปรียบเทียบราคา อ่านรีวิว และพิจารณาความจำเป็น แต่การใช้ System 2 ต้องใช้พลังงานมาก และในยุคที่เราได้รับข้อมูลอย่างล้นหลาม สมองมักจะเลือกใช้ System 1 มากกว่า
Social Commerce ได้ออกแบบประสบการณ์ให้กระตุ้น System 1 อย่างชาญฉลาด ด้วยเนื้อหาที่เน้นภาพ วิดีโอสั้น ๆ และการลดขั้นตอนการซื้อให้เหลือเพียงไม่กี่ครั้งคลิก ทำให้เราตัดสินใจด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล
อารมณ์ คือตัวขับเคลื่อนการตัดสินใจที่แท้จริง
งานวิจัยทางประสาทวิทยาพบว่า อารมณ์มีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อมากกว่าที่เราคิด เมื่ออารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เราไม่ได้ใช้เหตุผลในการประเมินสินค้าอย่างเดียว แต่ใช้ความรู้สึกเป็นหลัก
ความสุขและความตื่นเต้น ทำให้เราเสี่ยงมากขึ้นในการตัดสินใจ การดู Live Shopping ที่มีบรรยากาศสนุกสนาน หรือการเห็นโปรโมชันพิเศษที่มีเฉพาะในไลฟ์ ส่งผลให้เราซื้อโดยไม่คิดมาก
ความเครียดและความวิตกกังวล กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิด “Retail Therapy” หรือการซื้อของเพื่อปลอบใจตัวเอง หลายคนอาจสังเกตได้ว่า เวลาเครียดจากการทำงาน มักจะเปิดแอปช้อปปิ้งเพื่อหาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ
ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว ทำให้การซื้อกลายเป็นการได้มีส่วนร่วมกับผู้อื่น การซื้อสินค้าเดียวกับที่ Influencer ใช้ หรือการเข้าร่วมกิจกรรมของแบรนด์ ช่วยให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
สิ่งที่น่าสนใจคือ สมองจะหลั่ง Dopamine (สารแห่งความสุข) ไม่ใช่แค่ตอนที่ได้สินค้า แต่เป็นตอนที่คาดหวังจะได้รับด้วย การกดซื้อจึงให้ความรู้สึกดีทันที ก่อนที่เราจะได้สินค้าจริง ๆ ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมการช้อปปิ้งออนไลน์ถึงทำให้เสพติดได้
การเข้าใจจิตวิทยาเบื้องหลัง Impulse Buying ไม่ได้หมายความว่าเราจะหลอกลูกค้าให้ซื้อของที่ไม่จำเป็น แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการศึกษาจิตวิทยา Customer Behavior จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ทั้งแบรนด์และลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จาก Social Commerce ได้
เจาะลึกความต่างของนักช้อปบน TikTok Shop, Shopee และ Lazada
จากแพลตฟอร์มช้อปปิ้งยอดฮิตในประเทศไทย ที่มั่นใจเลยว่านักช้อปออนไลน์ตัวจริงต้องรู้จัก ไม่ว่าจะเป็น TikTok Shop, Shopee หรือ Lazada ผู้นำการช้อปปิ้งออนไลน์จากสถิติคนช้อปมากที่สุดในประเทศไทย แม้ว่าทั้งสามแพลตฟอร์มดังจะเป็นแพลตฟอร์มขายของออนไลน์เหมือนกัน แต่จิตวิทยาและพฤติกรรมของผู้ซื้อในแต่ละช่องทางกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการ หรือหลักการการถูกกระตุ้นให้ซื้อนั่นเอง มาดูกันว่าแต่ละแพลตฟอร์มใช้กลยุทธ์อะไรดึงดูดใจคุณให้กดปุ่มซื้อ
TikTok Shop ใช้ความบันเทิงนำทางการซื้อ
TikTok Shop เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ “Shoppertainment” ที่กล่าวไปข้างต้น หรือการใช้ความบันเทิงเพื่อให้เกิดการซื้อ ลูกค้าไม่ได้เปิดแอปมาด้วยเจตนาที่จะช้อปปิ้ง แต่ถูกดึงเข้ามาในขณะที่กำลังหาความบันเทิง ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า 71.2% ของผู้ใช้มีแนวโน้มซื้อสินค้าที่พบเห็นในฟีดมากขึ้น และเกือบ 1 ใน 4 ยอมรับว่าซื้อของแบบ impulse buy บนแพลตฟอร์มนี้
Customer Journey บน TikTok Shop เริ่มต้นด้วยการเปิดแอปเพื่อดูคลิปสั้นสนุก ๆ จากนั้นจึงบังเอิญเจอคอนเทนต์รีวิวสินค้าหรือ Live Shopping ที่ไม่ได้ตั้งใจ เมื่อสนใจสินค้าจากการนำเสนอที่สนุกและมีชีวิตชีวา จะซื้อทันทีด้วย 1-2 คลิก โดยรู้สึกตื่นเต้นและพอใจกับประสบการณ์ที่สนุกสนาน ผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุ 18-34 ปี คิดเป็นกว่า 60% ของกิจกรรมการซื้อ ซึ่งเป็นกลุ่ม Gen Z และ Millennials ที่ชื่นชอบประสบการณ์แบบ interactive
สิ่งที่ทำให้ TikTok Shop โดดเด่นคือการใช้ Live Commerce ที่ประเทศไทยกำลังรับเข้ามาอย่างรวดเร็ว การถ่ายทอดสดสร้างความรู้สึก “จริงใจ” และ “โปร่งใส” มากกว่ารูปภาพสินค้าทั่วไป ผู้ซื้อสามารถถามคำถามและเห็นสินค้าจริงแบบ Real-time ทำให้เกิดความไว้วางใจและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการตัดสินใจบนแพลตฟอร์มนี้คือ คอนเทนต์ที่น่าสนใจ (70%), ความน่าเชื่อถือของครีเอเตอร์ (60%) และ Live Streaming Interactive (50%)
Shopee สร้างการมีส่วนร่วม และใช้ FOMO กระตุ้นการซื้อ
Shopee เป็นตัวอย่างของ “Gamification Commerce” ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกว่า “ได้ของดี ราคาถูก” งานวิจัยพบว่า Shopee มีอิทธิพลมากที่สุดต่อพฤติกรรมการซื้อแบบ impulse buying เมื่อเทียบกับทั้ง TikTok Shop และ Lazada โดยสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการซื้อแบบฉับพลัน
แพลตฟอร์มนี้ใช้กลยุทธ์ gamification อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเกม, เหรียญ, voucher หรือ flash sale ที่สร้างความรู้สึก FOMO (Fear of Missing Out) จากโปรโมชันที่มีเวลาจำกัด ลูกค้ามักเริ่มต้นด้วยการเปิดแอปเพื่อเช็กโปรโมชันหรือเล่นเกมเก็บเหรียญ จากนั้นจึงเห็นสินค้าราคาพิเศษหรือ Flash Sale และรู้สึกว่าต้องซื้อเดี๋ยวนี้ไม่งั้นจะพลาด ผู้ซื้อมักจะเปรียบเทียบราคาหลายร้านค้าก่อนที่จะซื้อสินค้าหลายชิ้นเพื่อให้ครบเงื่อนไขฟรีค่าส่ง
ลักษณะเด่นของ Shopee คือผู้ใช้มักใช้เวลานานในแอปเพราะมีกิจกรรมให้ทำมากมาย และมักซื้อบ่อยครั้งด้วยมูลค่าไม่สูงมาก ทำให้เสริมการตัดสินใจซื้อได้ง่ายและรวดเร็ว เหมาะกับสินค้า lifestyle, แฟชั่น และของใช้ประจำวัน ด้วยอัตราความนิยม 75% ของผู้บริโภคไทยและส่วนแบ่งตลาด 49% ทำให้ Shopee ยังคงเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจคือ ราคาและโปรโมชัน (85%), ระบบรีวิวและเรตติ้ง (70%) และฟรีค่าส่ง (65%)
นอกจากนี้ Shopee ยังได้นำ Live Streaming เข้ามาเป็นกลยุทธ์สำคัญในการแข่งขันกับ TikTok Shop โดยมุ่งเน้นการเติบโตในด้าน Live-stream sales ซึ่งข้อมูลชี้ให้เห็นว่ายอดขายและคำสั่งซื้อจาก Shopee Live เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าระหว่างปี 2023 และ 2024 โดยเฉพาะในหมวดสินค้า K-beauty ที่พบว่าการขายผ่าน Livestream มียอดขายเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่องทางปกติ
Lazada การช้อปปิ้งแบบมีเหตุผล
ตรงข้ามกับสองแพลตฟอร์มก่อนหน้า Lazada เป็นตัวแทนของ “Rational Shopping” ที่ผู้บริโภคไทยใช้อินเทอร์เน็ตและแอปโซเชียลมีเดียเพื่อค้นคว้าข้อมูลสินค้าก่อนตัดสินใจซื้ออย่างรอบคอบ งานวิจัยพบว่า Lazada มีค่าเฉลี่ยอิทธิพลต่อ impulse buying ที่ต่ำกว่าทั้ง Shopee และ TikTok Shop ซึ่งสะท้อนว่าผู้ซื้อมักมีเป้าหมายชัดเจนและเน้นการเปรียบเทียบสเปค รีวิว และราคาอย่างละเอียด
ลูกค้าจะเริ่มต้นด้วยการค้นคว้าข้อมูลสินค้าจากหลายแหล่งเช่น Google, YouTube และรีวิวบล็อก จากนั้นจึงเปิด Lazada เพื่อค้นหาสินค้าที่ต้องการโดยเฉพาะ อ่านรีวิวและเปรียบเทียบสเปคอย่างละเอียด ก่อนที่จะเปรียบเทียบราคาหลายร้านและตัดสินใจซื้อจากร้านที่มีความน่าเชื่อถือสูง
Lazada เหมาะกับสินค้าที่มีราคาสูงเช่น อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ผู้ซื้อมักซื้อไม่บ่อยแต่มูลค่าสูงกว่า และเป็นผู้ที่ “คิดมาก” และ “วางแผน” ด้วยส่วนแบ่งตลาด 30% และความนิยม 67% ของผู้บริโภคไทย Lazada ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ต้องการข้อมูลละเอียดและความน่าเชื่อถือสูง ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจคือ ข้อมูลสินค้าที่ครบถ้วน (80%), ความน่าเชื่อถือของร้านค้า (75%) และนโยบายการคืนสินค้า (60%)
บทสรุป: เข้าใจและชนะใจลูกค้าในยุค Social Commerce
Social Commerce กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการค้าขายในยุคดิจิทัล โดยเปลี่ยนจากการที่ลูกค้าต้องค้นหาสินค้าอย่างตั้งใจ สู่การที่สินค้าถูกลูกค้าค้นพบท่ามกลางความบันเทิงและประสบการณ์ที่น่าสนใจ ความสำเร็จในตลาดนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีสินค้าที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความเข้าใจเชิงลึกว่าลูกค้าตัดสินใจอย่างไร ถูกกระตุ้นด้วยอะไร และต้องการประสบการณ์แบบไหน สำหรับแบรนด์และผู้ประกอบการที่ต้องการเติบโตในยุคนี้ การลงทุนศึกษา Customer Insight และจิตวิทยาผู้บริโภคไม่ใช่ตัวเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้สามารถสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้อย่างยั่งยืนพร้อมเพิ่มยอดขายด้วยกลยุทธ์ Social Commerce ที่ใช่รึยัง? TWF Agency ช่วยคุณวิเคราะห์ Customer Insight สร้างคอนเทนต์ปังกระตุ้นลูกค้า และออกแบบ Customer Journey ที่ทำให้ลูกค้ากดซื้อทันที ติดต่อเราเลย! https://bit.ly/4quXNgz หรือดูบริการเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/4obrG3J
ขอบคุณข้อมูลจาก :
Statista – Social commerce in Thailand statistics & facts
ResearchAndMarkets
- Thailand Social Commerce Market Intelligence and Future Growth Dynamics
- Nation Thailand, 2025. “Thai e-commerce hits 1 trillion baht milestone amid TikTok growth”
- Accio, 2025. “TikTok Shop best selling products Thailand 2025”
- Tomasis, R. (2024, July 24). Ecommerce vs. social commerce: key differences and evolution. WixBlog.https://www.wix.com/blog/ecommerce-vs-social-commerce
- How technical and situational cues affect impulse buying behavior in social commerce? Evidence from bored consumers. (2024, September 18). Frontiers in Psychology.https://www.frontiersin.org/journals/psychology/articles/10.3389/fpsyg.2024.1405189/full
- E-Commerce in Thailand: Market Size, Top Products, and Consumer Shopping Habits.https://paymentscmi.com/insights/thailand-ecommerce-market-data-insights/
- Kahneman, D. (2011). Thinking, Fast and Slow. Farrar, Straus and Giroux.
- Kantar (2024). “E-commerce Platform Usage in Thailand”